จิตอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง อยู่เหนือกาลเวลา
สิ่งที่เรามองเห็น คือสิ่งหนึ่งปรากฏอยู่ สิ่งที่เรามองไม่เห็นคือความว่างปรากฏอยู่ หลายคนเข้าใจแค่ มี กับ ไม่มี มีคือมีอยู่ปรากฏอยู่ ไม่มีคือความว่าง แต่สรรพสัตว์ยังไม่ทราบว่ามันไม่มีแค่เท่านั้น มันมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างมีกับไม่มี
สิ่งที่อยู่ตรงกลางสิ่งทั้งสองคือความบริสุทธิ์ จะเรียกว่าพระนิพพานก็ได้ สิ่งที่มีอยู่ปรากฏอยู่ สิ่งนั้นยังแปรปรวนอยู่ แปรปรวนจากการมีอยู่ เป็นความว่าง แล้วสิ่งที่ว่าไม่มีอยู่หรือความว่างก็ยังแปรปรวนอยู่ แปรปรวนจากความว่างกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะจิตมีตัญหา ตกลงว่าทั้งมีอยู่ก็แปรสภาพเป็นความว่าง ความว่างก็แปรสภาพเกิดขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนอยู่แบบนี้นะหรือ คือ มี ว่าง มี ว่าง มี ว่าง มี ว่าง......ไม่มีที่สิ้นสุด หรือ มี ไม่มี มี ไม่มี มี ไม่มี.....ไม่มีที่สิ้นสุด หมุนเวียนอยู่แบบนี้ จิตของสรรพสัตว์จึงมี 3 แบบ คือ1.จิตที่มีตัญหาในสิ่งที่มีอยู่ 2.จิตที่มีตัญหาในความว่าง 3.จิตที่ไม่มีตัญหา
จิตมีตัญหาสิ่งที่มีอยู่คือ เป็นจิตที่พอใจสิ่งที่มีอยู่และไม่พอใจกับสิ่งที่มีอยู่เพราะยึดมั่นสิ่งที่มีอยู่เป็น ของตน จิตประเภทนี้เมื่อละจากโลก ก็จะเกิดเเป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรฉาน มนุษย์ เทวดา รูปพรม ขึ้นอยู่กับผลของกรรม ว่ามีตัญหา มากน้อยเพียงใด
จิตมีตัญหาสิ่งที่ไม่มีอยู่หรือความว่างคือ เป็นจิตที่พอใจในความว่าง ไม่พอใจการมีตัวตน ปรารถนาแต่ความว่าง ยึดมั่นแต่ความว่างเป็นของตน เกิดเป็นตัญหา จิตประเภทนี้ เมื่อละจากโลก ก็จะเกิดเป็นอรูปพรม คือมีแต่จิตที่อยู่ท่ามกลางความว่างอันเวิ้งว้าง เมื่อหมดบุญก็มาจุติเกิดใหม่ เพราะความไม่รู้ด้วยอวิชชา ยังมีตัญหาในความว่างอยู่
จิตไม่มีตัญหา เป็นจิตที่ไม่ยึดมั่นต่อทุกสภาวะ คือ จะปรากฏว่ามี หรือไม่ปรากฏว่ามี ความพอใจสิ่งที่มีและสิ่งที่ไม่มี ไม่ปรากฏมีในจิต ความไม่พอใจสิ่งที่มีและสิ่งที่ไม่มี ไม่ปรากฏในจิต ความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่มีและสิ่งที่ไม่มีว่าเป็นของตน ไม่ปรากฏในจิต ฉะนั้นจิตประเภทนี้เป็นจิตที่ไม่ มีตัญหา เป็นจิตหลุดพ้น คือมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี เพราะทั้งมี และไม่มี จิตนี้ไม่ทุกข์ เพราะจิตนี้อยู่เหนือการมี กับการไม่มี คือมีก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ เป็นจิตที่อยู่เหนือการควบคุมของกฎไตรลักษ์ คือไม่เกิด ไม่ดับ เพราะอยู่เหนือการเกิด-ดับ หรืออยู่เหนือการเกิดกับการตาย จิตแบบนี้เมื่อละจากโลก ไปนิพพาน แล้วนิพพานที่ไปอยู่นั้น มันอยู่เหนือการปรากฏมี กับการไม่ปรากฏมี เพราะจะมีตัวตนก็ได้(เป็นกายแก้วใสประกายพรึกแวววาวมาก) ไม่มีตัวตนก็ได้(ก็สูญญตา) เพราะจิตไม่มีตัญหา จึงไม่มีความทุกข์
เวลาที่จิตหลุดพ้นจากตัญหาแล้วนั้น วันเวลามันไม่มี คือทุกเวลามันเหมือนกันหมด แล้วจะไม่หิวอะไรด้วย เพราะมันไม่มีคำตอบออกมาจากจิตว่าหิวหรือไม่หิว จิตมันหมดตัญหาแล้วจะเป็นแบบนี้ทุกราย ท่านก็กินไปงั้นๆ ให้สังขารพออยู่ได้ แต่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในการกิน เพราะจิตท่านหมดตัญหาแล้ว ชีวิตของท่านที่เหลืออยู่นั้น มันเหนือโลกมาก คือท่านไม่ทุกข์เลย อะไรกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่าน มันกระทบแต่ภายนอก กระทบได้แค่กาย แต่ภายในมันไม่มีความ เร้าร้อน หรือโหยหา เลย คือเหมือนมีชีวิตก็เหมือนไม่มี ไม่มีชีวิตก็เหมือนมี เพราะจิตท่านมันอยู่เหนือการมี การไม่มี อยู่เหนือการเกิด การตาย จิตท่านมันไร้กาลเวลาตั้งแต่ท่านยังไม่ละสังขารเลย คืออยู่ก็ไม่มีกาลเวลา ละจากโลกก็ไม่มีกาลเวลา ถ้าไครปฏิบัติเข้าถึงสิ่งนี้นะ ก็มีนิพพานเป็นที่ไป เป็นสิ่งที่เหนือคำบรรยาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดเจน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้วปวง มีก็ไม่ยึดมั่นว่าเป็นของตน ไม่มีก็ไม่ยึดมั่นว่าเป็นของตน จิตที่ไม่ยึดมั่นทุกสภาวะ เป็นจิตที่ไม่มีตัญหา เราเองก็ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้แจ่มแจ้ง ก็อธิบายได้แต่เพียงเท่านี้ สุดความสามารถแล้วจริงๆ แต่ถ้าทุกคนปฏิบัติเข้าถึง มันอยู่เหนือคำพูดเลย คือมันพูดไม่ออกเลย มันจบจริงๆ จบเลย จบกิจ ตามนี้แล